Tuesday, May 29, 2007

บทบาทครูกับการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์


1. ให้คำอธิบายเพื่อให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจในการเรียนรู้แบบโครงงานวิทยาศาสตร์ ความหมายของโครงงาน ประเภทของโครงงาน ขั้นตอนการทำโครงงาน การเขียน
เค้าโครงย่อของโครงงาน และการเขียนรายงานให้สมบูรณ์ ก่อนที่จะให้นักเรียนลงมือปฏิบัติการ
2. เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ กำกับติดตามการทำงานและประเมินผลโครงงานแต่ไม่ควรเป็นผู้คิดขั้นตอนการทำและลงมือทำให้นักเรียน นักเรียนจะต้องคิด วางแผนและลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง
3. เป็นผู้ช่วยเหลือนักเรียนในด้านการพิจารณาเค้าโครงย่อของโครงงาน การจัดหาแหล่งความรู้หรือแหล่งเรียนรู้ แหล่งในการศึกษาค้นคว้า รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ
4. เป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้ อยากศึกษาค้นคว้า เพื่อให้แสดงออกถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ผลิตผลงานที่เกิดจากโครงงานได้ด้วยตนเอง อีกทั้งให้การสนับสนุน ให้กำลังใจและฝึกนักเรียนมีความอดทนต่อการทำงาน และสามารถแก้ไขปัญหาในการทำงานได้
5. ดูแลนักเรียนระหว่างทำโครงงานในเรื่องความสะดวก ปลอดภัยในการทำโครงงานจะต้องชี้แจงและให้คำแนะนำด้วย
6. เป็นผู้แนะนำให้นักเรียนเขียนรายงานโครงงาน การจัดผังแสดงโครงงาน
การจัดกระทำข้อมูลอย่างถูกต้อง
บทบาทครูที่ปรึกษาโครงงานวิทยาศาสตร์ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ ดังนี้
1. ระยะเริ่มโครงงาน หมายถึง ระยะที่นักเรียนได้หัวข้อเรื่องโครงงาน ครูที่ปรึกษาควรปฏิบัติดังนี้
1.1 พิจารณาความเป็นไปได้ของเรื่อง โดยดูว่าโครงงานของนักเรียนที่เสนอมานั้นจะมีทางทำสำเร็จหรือไม่ กรณีที่โครงงานมีความเป็นไปได้น้อย ครูที่ปรึกษาอาจแนะนำให้เปลี่ยนเรื่องใหม่
1.2 ขยายขอบเขตของเรื่องให้กว้างขึ้น กรณีที่เสนอเรื่องที่แคบเกินไป
1.3 แนะนำเอกสารและแหล่งค้นคว้าให้นักเรียน หรือหาจากแหล่งภายนอกอื่นๆ
1.4 เสนอแนะวิธีการวางแผน และการเขียนเค้าโครงย่อ
1.5 ตรวจเค้าโครงย่อ ครูควรตรวจจุดสำคัญ เช่น
- จุดมุ่งหมาย เขียนถูกต้องสอดคล้องกับความต้องการที่จะศึกษาหรือไม่
- โครงงานประเภทสำรวจ ควรดูรายละเอียดดังนี้
- มีการกำหนดขอบเขตที่จะศึกษาหรือไม่
- เครื่องมือที่ใช้เหมาะสมหรือไม่
- ระยะเวลาที่ใช้เหมาะสมหรือไม่
- ช่วงเวลาที่ศึกษาเหมาะสมหรือไม่
- ออกแบบตารางบันทึกผลเหมาะสมหรือไม่
- โครงงานประเภททดลอง ควรดูรายละเอียดดังนี้
- มีตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมหรือไม่
- กำหนดตัวแปรต้นหรือไม่
- เกณฑ์ที่ใช้วัดตัวแปรตามเหมาะสมหรือไม่
- เครื่องมือที่ใช้วัดเหมาะสมหรือไม่
- ตัวแปรที่ต้องควบคุมกำหนดหรือไม่
- ระยะเวลาที่ศึกษาเพียงพอหรือไม่
- ออกแบบตารางบันทึกผลเหมาะสมหรือไม่
2. ระยะลงมือปฏิบัติ หมายถึง ระยะที่นักเรียนจัดเตรียมอุปกรณ์ไปจนถึงระยะสิ้นสุดของการศึกษาหรือการทดลอง ครูที่ปรึกษาควรปฏิบัติดังนี้
2.1 จัดสถานที่สำหรับทำโครงงานให้เป็นสัดส่วนเพราะบางทีต้องใช้เวลาหลายวัน ซึ่งถ้าไม่มีสถานที่อาจใช้มุมใดมุมหนึ่ง
2.2 จัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์และสารเคมีต่างๆ ที่จำเป็นในการทำโครงงานให้กับนักเรียนและให้นักเรียนรับผิดชอบ บางครั้งจำเป็นต้องมีการไปยืมจากแหล่งอื่น
2.3 ชี้แจงการใช้ห้องปฏิบัติการ การใช้เครื่องมือ อุปกรณ์และอันตรายจากการใช้เครื่องมือ
2.4 ควรฝึกเทคนิคบางประการที่จำเป็นต้องใช้กับโครงงานให้เกิดความชำนาญในการทำโครงงาน
2.5 ติดตามผลการปฏิบัติงานของนักเรียนสม่ำเสมอ เนื่องจากการทำโครงงานส่วนใหญ่ทำนอกเวลาเรียน ดังนั้นครูที่ปรึกษาจึงต้องมีเวลาคอยควบคุมดูแลการทำโครงงานของนักเรียนแต่ถ้าครูที่ปรึกษามีเวลาน้อยก็ใช้วิธีการติดตามผล โดยให้นักเรียนเสนอผลการศึกษาเป็นระยะๆ ต่อครูที่ปรึกษาอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง
2.6 ให้กำลังใจนักเรียนในระหว่างที่ดำเนินการทำโครงงานอยู่ เสริมสร้างกำลังใจเพื่อไม่ให้เกิดความท้อแท้
3. ระยะเวลาสิ้นสุด หมายถึง ระยะที่ทำการศึกษาหรือทดลองเสร็จสิ้นให้นักเรียนนำเสนอครูที่ปรึกษา โดยครูที่ปรึกษาดำเนินการดังนี้
3.1 แนะนำวิธีการจัดกระทำข้อมูล เช่น การออกแบบตาราง นำข้อมูลมาหาค่าเฉลี่ย แปลความหมายข้อมูล
3.2 เสนอแนะวิธีการเขียนรายงาน โดยมีตัวอย่างประกอบ
3.3 ตรวจรายงานพร้อมแก้ไขให้กับนักเรียน เนื่องจากนักเรียนยังขาดประสบการณ์ในการเขียนเมื่อตรวจแก้ไขเสร็จให้นักเรียนนำไปเขียนใหม่แล้วส่งกลับมาให้ครูตรวจอีกครั้งหนึ่ง


4. ระยะเตรียมการเสนอผลงานเพื่อจัดแสดง หรือส่งประกวด
4.1 จัดทำแผงสำหรับแสดงโครงงาน
4.2 เสนอแนะวิธีนำแผ่นโปสเตอร์แสดงโครงงาน เพื่อติดบนแผงแสดงโครงงาน
4.3 เสนอแนะการเตรียมอุปกรณ์ ผลการทดลองที่เป็นชิ้นงาน
4.4 ตรวจความถูกต้องของข้อความ
4.5 ฝึกให้นักเรียนอธิบายปากเปล่าในเรื่องโครงงานที่นักเรียนทำเพื่อให้เกิดความมั่นใจ
4.6 ในแต่ละปีการศึกษาครูที่ปรึกษาควรรวบรวมรายงานโครงงานไว้เพื่อใช้เป็นตัวอย่างและแนวทางในการทำโครงงาน
5. ระยะแสดงผลงาน
การแสดงผลงานในที่นี้ หมายถึง การแสดงผลงานในงานนิทรรศการ หรือการประกวดโครงงาน ครูที่ปรึกษาควรปฏิบัติดังนี้
5.1 ดูแลความเรียบร้อยในการติดตั้งแผงอุปกรณ์และชิ้นงาน
5.2 สร้างความมั่นใจให้กับนักเรียน โดยอาจให้นักเรียนซักซ้อมการอธิบาย
โครงงานอีกครั้งก่อนการแสดงต่อหน้าผู้ชม หรือกรรมการตัดสินโครงงาน
5.3 ให้กำลังใจนักเรียนในขณะที่นักเรียนแสดงโครงงานโดยดูอยู่ห่างๆ
ข้อควรคำนึงโครงงานที่นักเรียนทำต้องไม่ยากเกินไป เพราะอาจจะทำให้นักเรียนท้อแท้ และระยะเวลาที่ทำโครงงานไม่ควรยาวนานเกินไป เพราะจะทำให้นักเรียนเบื่อหน่าย พยายามทำให้นักเรียนทำโครงงานสำเร็จทุกขั้นตอนโครงงานที่ทำไม่ต้องใช้งบประมาณมาก และควรคำนึงถึงความปลอดภัย

Monday, May 28, 2007

ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2531 : 7) ได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. โครงงานประเภทการทดลอง
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
4. โครงงานประเภททฤษฎี
1. โครงงานประเภทการทดลอง เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่มีต่อตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่ง โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นโครงงานที่มีการจัดกระทำกับตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ มีการวัดตัวแปรตามและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการศึกษา โดยทั่ว ๆ ไปขั้นตอน
การดำเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การแปลผลและสรุปผล เช่น
- ศึกษาชนิดของน้ำที่เหมาะสมต่อการปลูกแตงกวา
- เปรียบเทียบการปลูกพืชโดยใช้ดินกับการไม่ใช้ดิน
- ศึกษาความเข้มข้นของฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานที่ไม่มีการจัดหรือกำหนด
ตัวแปรอิสระ ผู้ทำโครงงานเพียงสำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การสำรวจและรวบรวมข้อมูลนี้อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนาม ซึ่งบางเรื่องก็สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการในท้องถิ่นหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าได้ทันทีในขณะที่ออกไปปฏิบัติการนั้น โดยไม่ต้องนำวัสดุตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการอีก เช่น
- การศึกษาสำรวจมลพิษของอากาศในแหล่งต่าง ๆ
- การเก็บตัวอย่างน้ำมาตรวจสอบหาความเป็นกรด เบสและความหนาแน่น
- การสำรวจพืชชนิดต่าง ๆ ในบริเวณโรงเรียน
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่เกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่ง
อาจเป็นการคิดประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานประเภทนี้รวมไปถึงการสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวความคิดต่าง ๆ เช่น
- กระสวยอวกาศ
- ลิฟท์พลังงานโน้มถ่วง
- เครื่องอบมันสำปะหลัง
- แบบจำลองบ้านพลังงานแสงอาทิตย์
- หุ่นยนต์ใช้งานในบ้าน
4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วเสนอทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจใช้กติกาหรือข้อตกลงมาอธิบายสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือจินตนาการที่เสนอนี้อาจจะใหม่ ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรือเป็นการขยายทฤษฎีหรือความคิดเดิมก็ได้ การทำโครงงานประเภทนี้จุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดีจึงจะเสนอโครงงานประเภทนี้ได้อย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ โดยทั่วไปโครงงานประเภทนี้มักเป็นโครงงานทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น
- การอธิบายอวกาศแนวใหม่
- ทฤษฎีของจำนวนเฉพาะ
ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2531 : 7) ได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. โครงงานประเภทการทดลอง
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
4. โครงงานประเภททฤษฎี
1. โครงงานประเภทการทดลอง เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่มีต่อตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่ง โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นโครงงานที่มีการจัดกระทำกับตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ มีการวัดตัวแปรตามและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการศึกษา โดยทั่ว ๆ ไปขั้นตอน
การดำเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การแปลผลและสรุปผล เช่น
- ศึกษาชนิดของน้ำที่เหมาะสมต่อการปลูกแตงกวา
- เปรียบเทียบการปลูกพืชโดยใช้ดินกับการไม่ใช้ดิน
- ศึกษาความเข้มข้นของฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานที่ไม่มีการจัดหรือกำหนด
ตัวแปรอิสระ ผู้ทำโครงงานเพียงสำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การสำรวจและรวบรวมข้อมูลนี้อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนาม ซึ่งบางเรื่องก็สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการในท้องถิ่นหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าได้ทันทีในขณะที่ออกไปปฏิบัติการนั้น โดยไม่ต้องนำวัสดุตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการอีก เช่น
- การศึกษาสำรวจมลพิษของอากาศในแหล่งต่าง ๆ
- การเก็บตัวอย่างน้ำมาตรวจสอบหาความเป็นกรด เบสและความหนาแน่น
- การสำรวจพืชชนิดต่าง ๆ ในบริเวณโรงเรียน
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่เกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่ง
อาจเป็นการคิดประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานประเภทนี้รวมไปถึงการสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวความคิดต่าง ๆ เช่น
- กระสวยอวกาศ
- ลิฟท์พลังงานโน้มถ่วง
- เครื่องอบมันสำปะหลัง
- แบบจำลองบ้านพลังงานแสงอาทิตย์
- หุ่นยนต์ใช้งานในบ้าน
4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วเสนอทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจใช้กติกาหรือข้อตกลงมาอธิบายสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือจินตนาการที่เสนอนี้อาจจะใหม่ ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรือเป็นการขยายทฤษฎีหรือความคิดเดิมก็ได้ การทำโครงงานประเภทนี้จุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดีจึงจะเสนอโครงงานประเภทนี้ได้อย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ โดยทั่วไปโครงงานประเภทนี้มักเป็นโครงงานทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น
- การอธิบายอวกาศแนวใหม่
- ทฤษฎีของจำนวนเฉพาะ
ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์


สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2531 : 7) ได้แบ่งโครงงานวิทยาศาสตร์ ออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. โครงงานประเภทการทดลอง
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
4. โครงงานประเภททฤษฎี
1. โครงงานประเภทการทดลอง เป็นโครงงานที่มีการออกแบบการทดลองเพื่อศึกษาผลของตัวแปรหนึ่งที่มีต่อตัวแปรอีกตัวแปรหนึ่ง โดยควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อตัวแปรที่ต้องการศึกษาไว้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นโครงงานที่มีการจัดกระทำกับตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ มีการวัดตัวแปรตามและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการศึกษา โดยทั่ว ๆ ไปขั้นตอน
การดำเนินงานของโครงงานประเภทนี้จะประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การตั้งสมมติฐาน การออกแบบการทดลอง การดำเนินการทดลอง การรวบรวมข้อมูล การแปลผลและสรุปผล เช่น
- ศึกษาชนิดของน้ำที่เหมาะสมต่อการปลูกแตงกวา
- เปรียบเทียบการปลูกพืชโดยใช้ดินกับการไม่ใช้ดิน
- ศึกษาความเข้มข้นของฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
2. โครงงานประเภทสำรวจรวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานที่ไม่มีการจัดหรือกำหนด
ตัวแปรอิสระ ผู้ทำโครงงานเพียงสำรวจและรวบรวมข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาจำแนกเป็นหมวดหมู่ และนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้เห็นลักษณะหรือความสัมพันธ์ในเรื่องที่ต้องการศึกษาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น การสำรวจและรวบรวมข้อมูลนี้อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การออกไปเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคสนาม ซึ่งบางเรื่องก็สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่ต้องการในท้องถิ่นหรือสถานที่ต่าง ๆ ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าได้ทันทีในขณะที่ออกไปปฏิบัติการนั้น โดยไม่ต้องนำวัสดุตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการอีก เช่น
- การศึกษาสำรวจมลพิษของอากาศในแหล่งต่าง ๆ
- การเก็บตัวอย่างน้ำมาตรวจสอบหาความเป็นกรด เบสและความหนาแน่น
- การสำรวจพืชชนิดต่าง ๆ ในบริเวณโรงเรียน
3. โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ เป็นโครงงานที่เกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์มาประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้หรืออุปกรณ์เพื่อประโยชน์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่ง
อาจเป็นการคิดประดิษฐ์ของใหม่ ๆ หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานประเภทนี้รวมไปถึงการสร้างแบบจำลองเพื่ออธิบายแนวความคิดต่าง ๆ เช่น
- กระสวยอวกาศ
- ลิฟท์พลังงานโน้มถ่วง
- เครื่องอบมันสำปะหลัง
- แบบจำลองบ้านพลังงานแสงอาทิตย์
- หุ่นยนต์ใช้งานในบ้าน
4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานที่เสนอทฤษฎี หลักการหรือแนวคิดใหม่ ๆ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสูตร สมการ หรือคำอธิบาย โดยผู้เสนอได้ตั้งกติกาหรือข้อตกลงขึ้นมาเอง แล้วเสนอทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือจินตนาการของตนเองตามกติกาหรือข้อตกลงนั้น หรืออาจใช้กติกาหรือข้อตกลงมาอธิบายสิ่งหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในแนวใหม่ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือจินตนาการที่เสนอนี้อาจจะใหม่ ยังไม่มีใครคิดมาก่อน หรืออาจขัดแย้งกับทฤษฎีเดิม หรือเป็นการขยายทฤษฎีหรือความคิดเดิมก็ได้ การทำโครงงานประเภทนี้จุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดีจึงจะเสนอโครงงานประเภทนี้ได้อย่างมีเหตุมีผลน่าเชื่อถือ โดยทั่วไปโครงงานประเภทนี้มักเป็นโครงงานทางคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ เช่น
- การอธิบายอวกาศแนวใหม่
- ทฤษฎีของจำนวนเฉพาะ
ความสำคัญและประโยชน์ของโครงงานวิทยาศาสตร์


ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 3-4) ได้กล่าวถึงความสำคัญและประโยชน์ของโครงงานวิทยาศาสตร์ ไว้ดังต่อไปนี้
1. ช่วยส่งเสริมจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและการเรียนวิทยาศาสตร์ให้สัมฤทธิ์ผลสมบูรณ์ยิ่งขั้น
2. ช่วยให้นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในกระบวนการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
3. ช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้นกว่าการเรียนในกิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติ นักเรียนมีโอกาสได้ฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์บางทักษะซึ่งไม่ใคร่มีโอกาสในกิจกรรมการเรียนการสอนตามปกติ เช่น ทักษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการออกแบบการทดลอง และควบคุมตัวแปร เป็นต้น
4. ช่วยพัฒนาเจตคติทางวิทยาศาสตร์ เจตคติที่ดีต่อวิทยาศาสตร์ และความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์
5. ช่วยให้นักเรียนเข้าใจลักษณะและธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ดียิ่งขึ้น เช่น เข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้หมายถึงแต่ตัวความรู้ในเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับธรรมชาติเท่านั้นแต่ยัง หมายถึงกระบวนการแสวงหาความรู้เหล่านั้น และมีเจตคติหรือค่านิยมทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย การได้มาซึ่งความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติจะต้องใช้กระบวนการแสวงหาความรู้ที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลอย่างมีระบบโดยอาศัยการสังเกตเป็นพื้นฐานแต่ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งใช้ในการสังเกตมีขีดความสามารถจำกัดในการรับรู้ ดังนั้น วิทยาศาสตร์จึงมีขอบเขตจำกัดด้วย
6. ช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความเป็นผู้มีวิจารณญาณ
7. ช่วยพัฒนานักเรียนให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
8. ช่วยพัฒนานักเรียนให้เป็นคนที่คิดเป็น ทำเป็น และมีความสามารถในการแก้ปัญหา
9. ช่วยพัฒนาความรับผิดชอบ และสร้างวินัยในตนเองให้เกิดขึ้นกับนักเรียน
10. ช่วยให้นักเรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์และมีคุณค่า
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2531 : 56) ได้กล่าวถึงคุณประโยชน์ของโครงงานวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้
1. สร้างจิตสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสวงหาความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้าและเรียนรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจได้ลึกซึ้งไป
กว่าการเรียนในหลักสูตรปกติ
4. ทำให้นักเรียนมีความสามารถพิเศษโดยมีโอกาสแสดงความสามารถของตน
5. ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์และมีความสนใจที่จะ
ประกอบอาชีพทางวิทยาศาสตร์
6. ช่วยให้นักเรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการสร้างสรรค์
7. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกันให้มีโอกาส
ทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น
8. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียนให้ดีขึ้น โรงเรียนได้มีโอกาสเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่ชุมชนซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนได้สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
สรุปได้ว่า โครงงานวิทยาศาสตร์มีความสำคัญและก่อประโยชน์โดยตรงแก่นักเรียนโดยตรงเป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง สร้างความสัมพันธ์อันดีกับครูกับเพื่อนร่วมงาน รู้จักทำงานอย่างเป็นระบบใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

Friday, May 25, 2007

จุดมุ่งหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์


ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 1) ได้กำหนดจุดมุ่งหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้
1. เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรงในการศึกษาค้นคว้าหรือวิจัยเบื้องต้นทางวิทยาศาสตร์ภายในขอบเขตของความรู้และประสบการณ์ตามขั้นตอนของตน
2. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความรักและความสนใจในวิชาวิทยาศาสตร์
3. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์และมีโอกาสแสดงออก
4. เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนในการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหา
5. เพื่อให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
6. เพื่อพัฒนาความรับผิดชอบและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
7. เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2529 : 1) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้
1. เพื่อให้นักเรียนใช้ความรู้และประสบการณ์เลือกทำโครงงานวิทยาศาสตร์ตามที่ตนสนใจ
2. เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเอง
3. เพื่อให้นักเรียนได้แสดงออกซึ่งความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4. เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ และเห็นคุณค่าของการใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา
5. เพื่อให้นักเรียนมองเห็นแนวทางในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในแต่ละท้องถิ่น
จะเห็นได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์มีจุดมุ่งหมายให้นักเรียนใช้กระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา รู้จักการทำงานอย่างเป็นขั้นตอนและมีความรับผิดชอบและทำงานกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ParameciumParamecium tetraureliaParamecium aureliaParamecium caudatumThe Paramecium is a group of unicellular ciliate protozoa formerly known as slipper animalcules from their slipper shape. They are commonly studied as a representative of the ciliate group. Paramecia range from about 50 to 350 μm in length, depending on species. Simple cilia cover the body which allow the cell to move with a synchronous motion. There is also a deep oral groove containing inconspicuous compound oral cilia (as found in other peniculids) that is used to draw food inside. They generally feed upon bacteria and other small cells. Osmoregulation is carried out by a pair of contractile vacuoles, which actively expel water absorbed by osmosis from their surroundings.Paramecia are widespread in freshwater environments, and are especially common in scums. Paramecia are attracted by acidic conditions. Certain single-celled eukaryotes, such as Paramecium, are examples for exceptions to the universality of the genetic code (translation systems where a few codons differ from the standard ones).credit : http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
หลักการของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โครงงานวิทยาศาสตร์


ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 1) ได้กล่าวถึง หลักการที่สำคัญของการทำกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้
1. เน้นการเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้นักเรียนริเริ่มวางแผนและดำเนินการศึกษาด้วยตนเอง โดยมีอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะแนวทางและให้คำปรึกษา
2. เน้นกระบวนการในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่
การกำหนดปัญหาหรือเลือกหัวข้อที่สนใจ การวางแผนการศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูลหรือการทดลองและการสรุปผลการศึกษาค้นคว้า
3. เน้นการคิดเป็นและแก้ปัญหาด้วยตนเอง
4. การทำโครงงานวิทยาศาสตร์มุ่งฝึกให้นักเรียนรู้จักวิธีการศึกษาค้นคว้าและแก้ปัญหาด้วยตนเอง มิได้เน้นการส่งประกวดเพื่อรางวัล
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2530 : 4) ได้กล่าวถึงหลักการสำคัญของกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้
1. เน้นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้นักเรียนริเริ่มวางแผนและดำเนินการศึกษา
ด้วยตนเอง โดยมีอาจารย์เป็นผู้ชี้แนะและให้คำปรึกษา
2. เน้นกระบวนการในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่
การกำหนดปัญหาหรือเลือกหัวข้อที่สนใจ การวางแผนการศึกษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูลหรือการทดลอง
และการสรุปผลการศึกษาค้นคว้า
3. เน้นการคิดเป็น ทำเป็น และการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
4. การทำกิจกรรมโครงงานวิทยาศาสตร์มุ่งฝึกให้นักเรียนเรียนรู้วิธีการศึกษาค้นคว้า
และแก้ปัญหาด้วยตนเองมิได้เน้นการส่งเข้าประกวดเพื่อรับรางวัล
สรุปได้ว่า หลักการโครงงานวิทยาศาสตร์ มุ่งฝึกให้นักเรียนรู้จักการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง การแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

Wednesday, May 23, 2007

Selected biography

Selected biography
Benjamin Franklin (January 17 [O.S. January 6] 1706April 17, 1790) was one of the best-known Founding Fathers of the United States. He was a leading author, politician, printer, scientist, philosopher, publisher, inventor, civic activist, and diplomat. He founded the United States' earliest libraries, including The Library Company of Philadelphia and those found at the University of Pennsylvania, Harvard University, Brown University, Dartmouth College, and many others. As a scientist he was a major figure in the history of physics for his discoveries and theories regarding electricity. As a political writer and activist he, more than anyone, invented the idea of an American nation,[1] and as a diplomat during the American Revolution, he secured the French alliance that helped to make independence possible.
Franklin was noted for his curiosity, his writings (popular, political and scientific), and his diversity of interests. As a leader of the Enlightenment, he gained the recognition of scientists and intellectuals across Europe. An agent in Lond on before the Revolution, and Minister to France during it, he more than anyone defined the new nation in the minds of Europe. His success in securing French military and financial aid was a great contributor to the American victory over Britain. He invented the lightning rod; he was an early proponent of colonial unity; historians hail him as the "First American."

credit : http://en.wikipedia.org/wiki/Main_Page
ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์
มีนักการศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์ สรุปไว้ดังต่อไปนี้
กระทรวงศึกษาธิการ (2533 : 5) กล่าวว่า เป็นการทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เปิดโอกาสให้
นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติด้วยตนเองภายใต้การดูแล และให้คำปรึกษาของครูอาจารย์หรือผู้ทรงคุณวุฒิตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษาค้นคว้า ดำเนินการวางแผน ออกแบบประดิษฐ์ สำรวจ ทดลอง เก็บรวบรวมข้อมูลรวมทั้งการแปลผล สรุปผล และการเสนอผลงาน
ธีระชัย ปูรณโชติ (2531 : 1) กล่าวว่า เป็นการศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งนักเรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยอาศัยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ ภายใต้คำแนะนำปรึกษาและการดูแลของครูหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ และอาจใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยให้การศึกษาค้นคว้านั้นบรรลุผลตามวัตถุประสงค์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2529 : 1-2) กล่าวว่า เป็นการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนตามความสนใจและระดับความรู้ ความสามารถ ภายใต้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อตอบปัญหาที่สงสัยได้ผลงานที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง การทำโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเสริมด้านวิทยาศาสตร์หรือเทคโนโลยี โดยนักเรียนเป็นผู้วางแผนการศึกษาค้นคว้า ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล สรุปผลและเสนอผลการศึกษาด้วยตนเอง เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งได้ฝึกฝนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ครู อาจารย์ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเพียงผู้ให้การปรึกษา
จะเห็นได้ว่าโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง อาจจัดในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ เป็นการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีครูคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
คุณค่าของโครงงานวิทยาศาสตร์


กระทรวงศึกษาธิการ (2533 : 7-8) ได้สรุปคุณค่าของโครงงานวิทยาศาสตร์ไว้ดังนี้
1. สร้างความสำนึกและรับผิดชอบในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้านต่าง ๆ ด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้กับนักเรียนทุกคนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของ
ตนเอง
3. เปิดโอกาสให้กับนักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในหลักสูตรปกติ
4. ทำให้นักเรียนมีความสามารถพิเศษได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตนเอง
5. ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิทยาศาสตร์และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
6. ช่วยให้นักเรียนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
7. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกันให้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้น
8. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับโรงเรียนให้ดีขึ้น โรงเรียนได้มีโอกาสเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่ชุมชน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ชุมชนได้สนใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น
จะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องที่ตนเองสนใจ และได้แสดงความสามารถของตนเอง มีการทำงานที่เป็นระบบใช้กระบวนการกลุ่มในการทำงาน โดยทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในการทำงาน

Thursday, May 17, 2007

โครงงานวิทยาศาสตร์

การจัดกิจกรรมการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นเทคนิคหนึ่งที่ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้สอนกับนักเรียนของตนได้ เนื่องจากโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นเทคนิคหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยนักเรียนได้ประสบการณ์โดยตรง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเองตลอดจนครูผู้สอน นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบ เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการการทำงาน มีกระบวนการกลุ่มฝึกการเป็นผู้นำ
ผู้ตาม ได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะได้ฝึกนักเรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูล โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อนักเรียนได้ฝึกทำโครงงานวิทยาศาสตร์แล้วผู้เขียนเชื่อว่านักเรียนจะได้ทั้งองค์ความรู้ในเรื่องที่ทำและเกิดทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นอย่างไร

การจัดการเรียนรู้โดยโครงงานวิทยาศาสตร์

การจัดกิจกรรมการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นเทคนิคหนึ่งที่ครูผู้สอนสามารถนำไปใช้สอน
กับนักเรียนของตนได้ เนื่องจากโครงงานวิทยาศาสตร์เป็นเทคนิคหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญ โดยนักเรียนได้ประสบการณ์โดยตรง ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกันเองตลอดจน
ครูผู้สอน นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้การทำงานที่เป็นระบบ เป็นขั้นตอน มีการวางแผนการการทำงาน มีกระบวนการกลุ่มฝึกการเป็นผู้นำ ผู้ตาม ได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเฉพาะได้ฝึกนักเรียนให้เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูล โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เมื่อนักเรียนได้ฝึกทำโครงงานวิทยาศาสตร์แล้วผู้เขียนเชื่อว่านักเรียนจะได้ทั้งองค์ความรู้ในเรื่องที่ทำและเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นอย่างไร

Monday, May 14, 2007

ดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ

นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลที่มีลักษณะเหมือนโลกเป็นครั้งแรกดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบนี้มีลักษณะอุณหภูมิที่ไม่สูงหรือต่ำจนเกินไปเหมือนดาวเคราะห์อื่นๆที่ถูกค้นพบมาก่อน อุณหภูมิของดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ที่ประมาณ 0 ถึง 40 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่น้ำจะอยู่ในรูปของของเหลว และนั่นก็หมายถึงสิ่งมีชีวิตสามารถที่จะอาศัยอยู่ได้ เพราะน้ำเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต จากโครงสร้างจำลองนักวิทยาศาตร์คาดว่าพื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงนี้น่าจะเป็นหินเหมือนโลกเรา หรือไม่ก็ปกคลุมไปด้วยทะเลดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลดวงนี้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่เคยพบ มีรัศมีประมาณ 1.5 เท่าของโลก มีมวลสารมากกว่าโลก 5 เท่าและโคจรรอบดาวฤกษ์ ชื่อ Gliese 581 (เปรียบได้กับดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะจักรวาลเรา) โดยระยะเวลาในการโคจรใช้เวลาเพียงแค่ 13 วัน ทั้งนี้เพราะว่ามันอยู่ใกล้กับดาวฤกษ์ Gliese 581 มาก เมื่อเปรียบเทียบระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์แล้ว ดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ใกล้ดาวฤกษ์ Gliese 581 มากกว่าถึง 14 เท่า แต่เนื่องจากดาวฤกษ์ Gliese 581 มีขนาดเล็กกว่า และอุณหภูมิต่ำกว่าดวงอาทิตย์ของเรามาก อุณหภูมิของดาวเคราะห์จึงไม่ร้อนจนเกินไป และตำแหน่งที่อยู่นั้นมีอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับสิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้ ดาวฤกษ์ Gliese 581 อยู่ห่างจากโลกเรา 20.5 ปีแสง อาศัยอยู่ในกลุ่มดาว Libra ถูกค้นพบโดยใช้กล้องดูดาว Eso 3.6m ที่หอดูดาว European Southern Observatory ที่เมือง La Silla ในทะเลทราย Atacama ประเทศชิลี การสำรวจพบว่าดาวฤกษ์ Gliese 581 มีดาวเคราะห์โคจรรอบๆอยู่สามดวง เริ่มจากดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกเรา 15 เท่าโคจรอยู่รอบในสุด ถัดมาเป็นดาวเคราะห์ที่กล่าวถึง และถัดมาเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่กว่าโลกเรา 8 เท่าโคจรอยู่รอบนอกการตรวจสอบหาดาวเคราะห์ที่อยู่ระยะใกลมากๆนั้นนักดาราศาสตร์ต้องใช้วิธีตรวจสอบทางอ้อม โดยใช้เครื่องมือที่มีความไวต่อแสงสูง ที่สามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของอัตราความเร็วในการเคลื่อนที่ของดาวฤกษ์ในขณะที่ถูกแรงดึงดูดจากดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้เคียง ทั้งนี้เนื่องจากนักดาราศาสตร์ไม่สามารถมองเห็นดาวเคราะห์โดยตรงได้เพราะแสงที่สว่างจ้ามากของดาวฤกษ์ที่มันโคจรอยู่ เทคโนโลยีของกล้องดูดาวปัจจุบันยังไม่สามารถจับภาพวัตถุที่อยู่ใกลๆและจางมากๆได้ โดยเฉพาะเมื่อวัตถุโคจรใกล้กับดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างจ้าการค้นพบครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นในวงการดาราศาสตร์มาก เพราะในบรรดาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักวาลที่ค้นพบตอนนี้ประมาณ 200 กว่าดวง ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเหมือนดาวจูปีเตอร์ คือเป็นกลุ่มก๊าซที่มีอุณหภูมิร้อนมากๆ เพราะโคจรอยู่ใกล้ดาวฤกษ์ที่ร้อนมาก มีดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาลดวงนี้เป็นดวงแรกที่มีบรรยากาศเหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต จึงจุดประกายความหวังให้กับนักดาราศาสตร์ที่จะใช้จะดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นเป้าหมายของโครงการทางอวกาศในอนาคตเพื่อสำรวจหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก อย่างไรก็ตามเนื่องจากดาวเคราะห์ดวงนี้อยู่ห่างจากโลกเราถึง 20 ปีแสง ด้วยเทคโนโลยีที่มีอยู่ตอนนี้เรายังไม่สามารถเดินทางไปสำรวจได้ แต่เราสามารถตรวจสอบค้นหาข้อมูลของมันทางกล้องส่องดูดาวได้ โครงการจะติดตั้งกล้องส่องดวงดาวในอวกาศเพื่อสังเกตการณ์ต่างๆที่อาจบ่งชี้หรือเชื่อมโยงถึงกระบวนการของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ โดยจะสังเกตหาร่องรอยของก๊าซเช่น ก๊าซมีเทน (methane) และสิ่งที่บ่งชี้ถึงสารครอโรฟีน สารสีเขียวในพืชที่ทำหน้าที่ในการสังเคราะแสงแหล่งข่าว http://news.bbc.co.uk/2/hi/science/nature/6589157.stm

เครดิต : คุณ newsreader
http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=91565